ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

อ่านเจอคอลัมน์การเมือง หัวข้อ “ได้เวลาปฏิรูปการศึกษา” เลยเอามานำเสนอ อ่านแล้วก็มองเห็นสัจธรรมบางอย่าง รายละเอียดทั้งหมดหยิบยกมาทั้งบทความไม่ได้เพิ่มเติมอะไรและก็แสดงที่มีของบทความชัดเจนครับ ผมไม่ขอเสนอแนะอะไร (ตามนั้น)

เป็นเรื่องน่าสมเพชเวทนาที่ผลการเรียนการสอนและผลการศึกษาของประเทศไทยต่ำต้อยตกเตี้ยดังเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คือ กำลังเป็นประเทศที่ล้าหลังทางการศึกษามากที่สุดของโลกและของภูมิภาคนี้ไปแล้ว

ประกาศผลเปรียบเทียบทางการศึกษาในภูมิภาคและในโลกแต่ละครั้งแต่ละปีล้วนทำให้คนไทยได้อับอายขายหน้ากันทั้งประเทศเสมอมา

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เป็นการศึกษาแต่เปลือก เป็นคนแต่รูปร่าง ขาดไร้ซึ่งคุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม กระทั่งทำให้คนเห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี และที่เกิดผลร้ายแก่บ้านเมืองมากที่สุดก็คือ ทำคนให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน

เป็นเด็ก เป็นเยาวชน กระทำการหยาบช้าฆ่าพ่อฆ่าแม่ ติดยาเสพติดกันระนาว เติบโตขึ้นเป็นพ่อเป็นแม่คน ก็ข่มขืนลูกเต้า พี่น้อง มิได้มีความละอายต่อบาป ซึ่งเป็นพฤติกรรมของสัตว์เดรัจฉานโดยแท้ การศึกษาใดไหนเล่าที่จะย่ำแย่
กว่านี้เป็นไม่มีอีกแล้ว

ในทางการบริหารบ้านเมือง ก็ถูกปลูกฝังเชื้อพิษในจิตใจผู้คนให้ยอมจำนน ยอมรับความชั่วร้ายทั้งหลาย ขอเพียงให้ได้รับประโยชน์บ้าง ก็ยอมรับทั้งสิ้น กระทั่งพูดออกมาหน้าตาเฉยว่าการคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ขอเพียงให้ได้รับประโยชน์บ้างก็เป็นพอ นี่คือการศึกษาที่ทำคนให้เป็นเปรต ที่ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม กินหิน กินดิน กินทราย กินเครื่องบิน กินรถยนต์ กินตึก กินอาคาร กินจอบ กินเสียม ไม่ละเว้น ดูไปแล้วก็เลวยิ่งกว่าเปรตเสียอีก!

ความเลวร้ายยังขยายตัวไปอย่างกว้างขวา กระทั่งเห็นการศึกษาเป็นการค้า ครูอาจารย์เห็นเด็กเล็กเด็กน้อยเป็นลูกค้าที่ต้องมุ่งแสวงหากำไร จนสินค้ากลายเป็นสินค้าด้อยคุณภาพ กระทั่งเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเป็นเปรตดังที่ว่ามานั้น

สถานศึกษาก็เลวร้ายถึงขีดสุด กระทั่งเกิดคำพูดกันทั่วไปว่า จ่ายครบจบแน่ นั่นคือไม่คำนึงถึงผลการศึกษาจะเป็นประการใด ขอให้มึงจ่ายเงินมา กูก็ให้กระดาษเป็นใบปริญญาหรือประกาศนียบัตร

นี่คือสภาพการศึกษาที่เป็นอยู่ในประเทศไทยของเรา ซึ่งเป็นคนละเรื่อง คนละโลก คนละราว กับการศึกษาที่เป็นมาในอดีต สภาพเช่นนี้ไม่อาจปล่อยให้ดำรงคงอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว เพราะผลิตผลของการศึกษาที่ผ่านมาก็หนักหนาสาหัสและยังไม่รู้ว่าจะทำร้ายทำลายประเทศชาติไปอีกนานสักเท่าใด

ดังนั้นในสถานการณ์ปฏิรูปประเทศไทย จึงต้องถือเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะต้องทำการปฏิรูปการศึกษา นำพาประเทศกลับมาสู่สภาพที่การศึกษาคือการอบรมบ่มเพาะให้ความรู้คู่คุณธรรมให้แก่เยาวชนของชาติ ทำให้เยาวชนของชาติเป็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ของบ้านเมือง ที่จะรักษาบ้านเมืองและแผ่นดินนี้ให้มั่นคง มั่งคั่ง สืบไปในวันข้างหน้า

เมื่อจะปฏิรูปทางการศึกษาก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุนั้นก่อน ต้นเหตุก็คือนักการเมืองที่ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้ส่งนักการศึกษาที่มีความรู้ควบคู่คุณธรรมเข้าไปบริหารการศึกษา จัดคนเอาตามโควตาทางการเมือง จนกระทั่งคนบ้าบอคอแตกสารเลวอัปรีย์จัญไรก็สามารถเป็นผู้บริหารการศึกษาของประเทศได้

การเมืองที่ชั่วช้าสามานย์และนักการเมืองที่เลวร้ายสามานย์คือต้นเหตุของความพิการทางการศึกษาของประเทศชาติ ดังนั้นเมื่อจะตั้งสัมมาทิฐิปฏิรูปทางการศึกษา จึงต้องเริ่มต้นในการวางและกำหนดตัวบุคคลที่จะบริหารการศึกษา ที่ต้องเป็นนักการศึกษาที่มีความรู้คู่คุณธรรม ไม่ใช่จะเอาพวกบ้าบอคอแตกที่ไหนเข้ามาทำงานด้านนี้เหมือนที่ผ่านมาอีก

ถัดมา การศึกษานั้นจะต้องตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศชาติ ไม่ใช่ศึกษาร่ำไป เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองว่าประเทศชาติต้องการอย่างไหน สิ่งที่ต้องการกลับขาดแคลน สิ่งที่ไม่ต้องการกลับล้นเกิน จนกลายเป็นว่าการศึกษาคือระบบการผลิตขยะสังคมเหมือนเช่นที่ผ่านมา

บ้านเมืองของเราจากนี้ไปเรียกร้องต้องการคนทำงานที่มีความรู้แต่ละแขนงอาชีพ หรือจะเรียกว่าเป็นการศึกษาด้านอาชีพหรือวิชาชีพหรืออาชีวะ ซึ่งแทบจะสาบสูญไปจากประเทศไทยแล้ว เพราะมัวไปบ้าคลั่งอยู่กับการศึกษาสายสามัญ

ดังนั้นในประการนี้ จึงต้องกำหนดแนวทางการบริหารการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เพิ่มการศึกษาด้านอาชีวะแขนงต่างๆ ให้สอดคล้องและเพียงพอต่อการพัฒนาของประเทศ เพื่อตอบสนองบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับประเทศชาติและเพื่อทำให้ผู้จบการศึกษามาแล้วมีงานทำ มีรายได้ที่ดี

ในประการสำคัญ การศึกษาต้องมุ่งเน้นคุณภาพทางการศึกษา ไม่ใช่มุ่งเน้นที่ระยะเวลาหรืออัตราค่าเทอม ซึ่งต้องเริ่มต้นที่คุณภาพของครูอาจารย์ที่ต้องเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาแต่ละสาขาอย่างแท้จริง

จะต้องกวดขันและกีดกันอย่างเด็ดขาดไม่ให้นักวิชาการจอมปลอมเข้ามาเกี่ยวข้องในวงการศึกษาอย่างเด็ดขาด นักวิชาการจอมปลอมเหล่านี้เป็นอย่างไรเล่า?

พวกแรก เป็นพวกไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ดังตัวอย่างเช่นผู้บริหารสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งไม่ยอมสอบสวนเอาผิดอาเจียนของสถาบันการศึกษาแห่งนั้น ที่หนีราชการไปอยู่ต่างประเทศ แล้วจาบจ้วงล่วงละเมิดพระเจ้าอยู่หัวอยู่ทุกวัน อ้างว่าเป็นการกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการ ทั้งอาเจียนและผู้บริหารการศึกษาเช่นว่านี้ควรจะต้องไล่ออกไปจากวงการการศึกษา เพราะหาได้รู้ผิดชอบชั่วดีแต่ประการใดไม่

พวกที่สอง คือพวกจอมปลอมที่ปลอมทั้งตัว คือปลอมตนเป็นวิญญูชน แต่แท้ที่จริงเป็นอาชญากรที่ข่มขืนได้แม้กระทั่งศิษย์ของตน ขี้ฉ้อ ตอแหล แม้กระทั่งปริญญาการศึกษาของตนก็ได้มาด้วยการซื้อหา มิใช่ได้มาเพราะสำเร็จการศึกษาอันพรั่งพร้อมด้วยวิชาปัญญาคุณแต่ประการใด

พวกที่สาม คือพวกผีนรกจกเปรตที่เป็นครูบาอาจารย์แต่มิได้ตั้งตนอยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ เต็มไปด้วยความโลภโมโทสัน วันๆ วิ่งแสวงหาแต่ประโยชน์ ยอมเป็นสุนัขรับใช้และขี้ข้าของผู้มีอำนาจ บังอาจกระทั่งสอนศิษย์ให้กระทำกรรมชั่ว ให้ทรยศต่อบ้านเมืองและราษฎร ขอเพียงให้ได้ผลประโยชน์ก็ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง นักวิชาการจำพวกผีนรกจกเปรตนี้เป็นกาลีทางการศึกษาโดยแท้

เอากันแค่คนสามจำพวกนี้ อย่าให้เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในวงการการศึกษาของชาติ ไม่ว่าระดับใด ชั้นไหน ก็จะเป็นสิริมงคลแก่การศึกษาของประเทศ ก็จะเป็นความปลอดภัยของเยาวชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

เพื่อจะปฏิรูปการศึกษาของประเทศ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องชำเลืองมองเพื่อชำระสะสางความโสโครกโสมมในสภามหาวิทยาลัยต่างๆ ที่นักการเมืองได้ส่งลิ่วล้อบริวารเข้าไปยึดครองต่อเนื่องมานับสิบปีแล้วเสียด้วย

จะให้สภามหาวิทยาลัยเป็นซ่องโจรเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้เป็นอันขาด!

ที่มา : แนวหน้า – ได้เวลาปฏิรูปการศึกษา!.

แสดงความคิดผ่าน Facebook